ผักที่คนทั่วไปมักชอบรับประทาน มีหลายชนิดมาก หนึ่งในนั้นคือ ผักกาดขาวปลี ซึ่งถือได้ว่าผักชนิดเป็นผักที่หาง่าย คนนิยมบริโภคกันมาก
แต่ก่อนมีปลูกกันมากในประเทศจีนตอนใต้ เนื่องจากคนจีนทุกชนชั้นนิยมนำมาประกอบอาหารพอๆ กับกะหล่ำปลี ไม่เว้นแม้แต่ในประเทศไทยเอง ความนิยมผักกาดขาว ก็ไม่ได้น้อยลงเลย เรียกว่ารู้จักกันทุกคน
กับความนิยมนี้เอง จึงทำให้เจ้าของสวนผักกาดร่ำรวยเป็นกอบเป็นกำ แต่ใช่ว่าจะรวยกันทุกคน เพราะการปลูกผักกาดขาวปลีนั้น ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด แต่วันนี้เรามีเคล็ดลับในการนำผักกาดขาวปลีมาปลูกลงกระถางและเติบโตให้ผลผลิตได้ด้วย
ผักกาด มีอยู่หลายชนิด แต่ที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในหมู่คนไทย ก็มีผักกาดเขียว ผักกาดขาว ผักกาดหัว ซึ่งในจำนวนผักกาดเขียวก็ยังมีการแบ่งเป็น ผักกาดเขียวใหญ่ชนิดก้านแบนและก้านกลม ผักกาดเขียวเล็ก ผักกาดเขียวปลี (ตีนหมี) ผักกาดขาวเล็ก ผักกาดขาวปลี และในบรรดาผักกาดขาวหลายพันธุ์นั้น ดูเหมือนว่าผักกาดขาวปลีจะเป็นที่นิยมของผู้บริโภคมากกว่า เพราะมีลักษณะสีดอกขาวสะอาด กรอบหวานกินได้ทั้งดิบและสุก
พันธุ์ผักกาดขาวปลี
ปลูกผักกาดขาวปลีในกระถาง ทำได้ไม่ยากกับการปลูกผักกาดขาวปลีลองมาดูกันเลยดีกว่า เริ่มจากศึกษาสายพันธุ์ก่อน ซึ่งผักกาดขาวปลี (Brassica compestris ssp. pekinensis) ถือเป็นผักฤดูหนาว (cool-season vegetable) อยู่ในตระกูล Cruciferac อุณหภูมิ ที่เหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโตและการห่อปลีอยู่ในช่วง 15-20 องศาเซลเซียส ถ้าอุณหภูมิสูงกว่านี้ จะไม่มีการห่อปลี หรือห่อน้อยและคุณภาพไม่ดีคือปลีหลวม โดยสายพันธุ์ของผักกาดขาวปลีนี้ แบ่งตามลักษณะของปลีได้เป็น 3 พวก คือ
- พวกห่อปลียาว รวมทั้งพันธุ์ที่มีหัวตั้งตรงสูงและรูปไข่ ได้แก่ พันธุ์ผักกาดโสภณหรือผักกาดขาวฝรั่ง
- พวกปลีกลม รวมทั้งพันธุ์ปลีป้านทางส่วนบน มักเป็นพันธุ์เบา อายุสั้น
- พวกปลีหลวม ส่วนใหญ่เป็นผักพื้นเมืองของเอเซีย พวกนี้มักไม่ห่อปลี ปลูกได้แม้อากาศไม่หนาว ฝนตกชุก ได้แก่พันธุ์ผักกาดขาวใหญ่ (อายุ 45 วัน) ผักกาดขาวธรรมดา (อายุ 40 วัน)
ในปัจจุบันดูจะลดปริมาณการปลูกลงไปเนื่องจากสู้ผักกาดขาวพวกห่อปลียาวไม่ได้ในด้านความอร่อยน่ากินและยังเก็บรักษาได้น้อยวันกว่า ชื่อพันธุ์ผักกาดขาวปลีที่ชาวสวนใช้กันก็มีตราดอกโบตั๋น, ตางช้าง, ตราเครื่องบิน, ตราเครื่องบินพิเศษ, พันธุ์เทียนจีน ซึ่งเมล็ดมีความงอกดีส่วนพันธุ์ เทียนจินเบอร์ 23 เป็นพันธุ์ที่ทนร้อนได้ปานกลาง
วิธีการปลูกผักกาดขาวปลีในกระถาง หรือสามารถนำไปปลูกลงดินได้ด้วยวิธีการเดียวกัน
ก่อนอื่นเริ่มจากการเตรียมกล้าผักกาดขาวปลี ต้องเพาะกล้าในถาดหลุม เพราะจะทำให้การเข้าปลีดีขึ้น ซึ่งในช่วงฤดูฝนอาจใช้การหยอดเมล็ดได้ หากเป็นฤดูร้อนควรเพาะในถาดหลุม อายุกล้าไม่ควรเกิน 21 วัน ซึ่งข้อควรระวังคือ การหยอดเมล็ดไม่ควรเกินหลุมละ 2 เมล็ด ในการปลูกลงดินแบบสวนและปลูกจำนวนมาก ในช่วงเพาะกล้าส่วนใหญ่จะมีการฉีดพ่นธาตุอาหารเสริมและโบรอนด้วย แต่ปลูกในกระถางไม่จำเป็น
เตรียมดินปลูก โดยขุดดินตากแดดอย่างน้อย 14 วันเพื่อกำจัดโรค แมลงและวัชพืช ใส่ปูนขาวอัตรา 0-100 กรัม/ตร.ม. ทิ้งไว้ประมาณ 10 วัน ใส่ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก เก็บเศษวัชพืชออก ตากจนแห้งและดินเย็น ไม่เกิดแก๊ส ก็ถือว่าใช้ได้ สำหรับการปลูกลงแปลงปลูก มีข้อควรระวังดังนี้
- ช่วงการเจริญเติบโต ระวังธาตุโบรอน ซึ่งจะแสดงอาการ กาบใบแตกเป็นรอยดำ หากเปียกจะเกิดโรคเน่าเละ และจำหน่ายไม่ได้ โดยฉีดพ่นทุก 10 วัน หลังจากย้ายปลูก
- ระวังโรคใบจุด ที่เกิดจากเชื้อ Alternaria sp. ที่สามารถระบาด ได้อย่างรวดเร็ว และทำให้ใบเป็นจุดเล็กๆ ไม่สามารถจำหน่ายได้
- ระวังการแทงช่อดอก ในช่วงอากาศเย็นโดยเฉพาะต้นกล้าที่ได้รับความเย็นจัดนานๆ เมื่อนำไปปลูกจะทำให้ แทงช่อดอก ได้ง่ายไม่เข้าหัว
- ไม่ควรปลูกซ้ำที่เดิม
- ในช่วงฤดูร้อน ควรให้น้ำโดยการปล่อยเข้าแปลง หากขาดน้ำ พืชจะชะงักการเจริญเติบโต มีผลต่อการเข้าปลี
สามารถดัดแปลงสำหรับการปลูกลงกระถางได้ และการให้น้ำ ให้ 2 วันต่อครั้ง ไม่ต้องมาก ถ้าให้จนดินชุ่ม อาจเป็นโรคเน่าได้
การให้ปุ๋ย ถ้าปุ๋ยเคมี ใช้สูตร 15-15-15 หรือ 46-0-0 แต่ไม่แนะนำ ควรใช้ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมักธรรมชาติดีที่สุด หัวผักกาดออกปลีเหมือนกัน โรคแมลงศัตรูของผักกาดขาวปลี ที่สำคัญในระยะต่างๆ ของการเจริญเติบโต คือ
- ระยะกล้า 18-21 วัน ช่วงนี้ไม่ค่อยมีโรคแมลงรบกวน
- ระยะย้ายปลูก-ตั้งตัว 21-28 วัน โรคราน้ำค้าง, โรคใบจุด, ด้วงหมัดผัก, หนอนกระทู้ดำ, หนอนใยผัก, หนอนคืบ, หนอนกระทู้
- ระยะเข้าหัว 28-55 วัน โรคราน้ำค้าง, โรคใบจุด, โรคเน่าเละ, หนอนใยผัก, หนอนคืบ, หนอนกระทู้
- ระยะโตเต็มที่ 55-56 วัน โรคราน้ำค้าง, โรคใบจุด, โรคเน่าเละ, หนอนใยผัก, หนอนคืบ, หนอนกระทู้
ในการปลูกผักกาดขาวปลีในกระถาง ก็อาจเจอโรคหนอนและแมลงศัตรูพืชบ้าง ใช้น้ำหมักจากสะเดาฉีดพ่นก็สามารถป้องกันได้ หรือสามารถดูวิธี การปลูกผักกาดขาวปลี เพิ่มเติมได้ / ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต