อยากให้ ผลไม้ มีรสชาติ หวาน ขึ้น เร่งได้ด้วย ปุ๋ยน้ำตาล ทำยังไง มาดูกัน
โดยปกติแล้ว การที่เราปลูกผักผลไม้ และมีผลผลิตออกมาแล้วไม่ได้คุณภาพ ไม่ว่าจะเป็นขนาด รสชาติ สำหรับในวันนี้อยากขอแนะนำเกี่ยวกับ การเพิ่มรสชาติความหวานให้กับผักผลไม้ เนื่องจากหลายๆ คนสอบถามกันเข้ามามากเกี่ยวกับเรื่องนี้
และบังเอิญ ผู้เขียนเองก็ได้มีโอกาสไปถอยต้นองุ่นมาติดรั้วบ้าน 1 ต้น คนขายก็เลยแนะนำว่าถ้าอยากให้รสชาติองุ่นหวาน ต้องใช้ ปุ๋ยน้ำตาล ปุ๋ยชนิดนี้ ไม่เหมือน การปรับปรุงดินด้วยปุ๋ยอินทรีย์ ผู้เขียนเลยสอบถามคร่าวๆ ว่า “ปุ๋ยน้ำตาล” นี่คืออะไร ก็ได้คำตอบว่าเป็นปุ๋ยชนิดหนึ่ง ส่วนใหญ่จะเป็นปุ๋ยเคมี เพราะมีการปรับปรุงสูตรเพิ่มสารและแร่ธาตุต่างๆ สำหรับเน้นไปด้านใดด้านหนึ่ง กลับมาผู้เขียนเลยค้นหาข้อมูลและขอรวบรวมเอาไว้ดังนี้
เกษตรกรส่วนใหญ่ รู้จักปุ๋ยสูตรนี้กันในหลายชื่อ เช่น ปุ๋ยหมาก ปุ๋ยระเบิดหัว ซึ่งในความเป็นจริงก็คือปุ๋ยชนิดเดียวกันนั่นเอง มันชื่อว่า ปุ๋ยน้ำตาลทราย หรือปุ๋ยน้ำตาล หรือปุ๋ยหวาน ที่เรียกอย่างนี้ก็เพราะเม็ดปุ๋ยคล้ายน้ำตาลทรายมากและมีจุดประสงค์คือ ต้องการให้ผักผลไม้ มีรสชาติหวาน นั่นเอง ส่วนใหญ่สูตรปุ๋ยคือ 21-0-0 หรือ 0-0-60 (ไม่ค่อยเห็นปุ๋ยสูตรนี้ แต่จริงๆ นั้นมีขาย)
ลักษณะของพืชต้องการธาตุอาหาร 16 ชนิด ได้แก่
- ออกซิเจน ไฮโตรเจน คาร์บอน ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โปตัสเซียม กำมะถัน แคลเซียม แมกนีเซียม เหล็ก สังกะสี แมงกานิส ทองแดง โบรอน โมลิบดินัม และคลอรีน
ในจำนวนนี้ ออกซิเจน ไฮโดรเจน คาร์บอน พืชได้รับจากน้ำและอาหาร ส่วน ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโปแตสเซียม พืชต้องการในปริมาณมาก เมื่อเทียบกับธาตุอื่นๆ (ซึ่งถูกจัดเป็นธาตุอาหารหลัก หรือ ธาตุปุ๋ย) และในดินมักมีไม่เพียงพอต่อการเพาะปลูก จึงมีความจำเป็นต้องเพิ่มเติมธาตุเหล่านี้โดยการให้ปุ๋ยทดแทน
ปุ๋ยเคมี โดยทั่วไป มีคุณลักษณะดังนี้
- 46-0-0 ยูเรีย ให้ไนโตรเจนสูง เร่งต้น และใบใส่ทางดินเช่น
- 16-16-16 ปุ๋ยสูตรเสมอ บำรุงทุกอย่าง ต้น ดอก ผล ใส่ทางดิน
- 12-24-12 ปุ๋ยมีฟอสฟอรัสสูง เร่งดอก ใส่ทางดิน
- 8-24-24 ปุ๋ยมีฟอสฟอรัส และโปรแตสเซี่ยมสูง เร่งดอก และผลรสชาติดีใส่ทางดิน
- 15-5-5 ปุ๋ยน้ำไนโตรเจนสูง เร่งต้น และใบ ฉีดพ่นทางใบ
- 10-10-10 ปุ๋ยน้ำสูตรเสมอ บำรุงทุกอย่าง ต้น ดอก ฉีดพ่นทางใบ
- 9-18-9 ปุ๋ยน้ำมีฟอสฟอรัสสูง เร่งดอก ฉีดพ่นทางใบ
- 3-18-18 ปุ๋ยน้ำมีฟอสฟอรัส และโปรแตสเซียมสูง เร่งดอกและผลรสชาดดี ฉีดพ่นทางใบ
- 30-20-10 ปุ๋ยเกร็ดมีไนโตรเจนสูง เร่งต้น และใบ ฉีดพ่นทางใบ
- 10-52-17 ปุ๋ยเกร็ดมีฟอสฟอรัสสูง เร่งดอก ฉีดพ่นทางใบ
- 21-21-21 ปุ๋ยเกร็ดสูตรเสมอ บำรุงทุกอย่าง ต้น ดอก ผลฉีดพ่นทางใบ
- 13-27-27 ปุ๋ยเกร็ดมีฟอสฟอรัส และโปรแตสเซียมสูง เร่งดอก และผลรสชาดดี ฉีดพ่นทางใบ
สำหรับปุ๋ยสูตร 0-0-60 หรือปุ๋ยหวาน ปุ๋ยน้ำตาลทราย ปุ๋ยน้ำตาล มีชื่อสามัญ โพแทสเซียมคลอไรด์ มีคุณสมบัติเป็นปุ๋ยเคมีชนิดเม็ด ประกอบด้วยปริมาณธาตุอาหารรับรอง ดังนี้
- ไนโตรเจนทั้งหมด (N) 0%
- ฟอสเฟตที่เป็นประโยชน์ (P2O5) 0.%
- โพแทชที่ละลายน้ำ (K2O) 60%
พืชที่แนะนำให้ใช้ ใช้ ปุ๋ยน้ำตาล เพิ่มรสหวานให้ผักผลไม้ กับ ไม้ผล พืชไร่ และพืชหัว ในอัตราที่กำหนด โดยมีวิธีใช้และระยะเวลาที่ใช้ คือ
- ไม้ผล องุ่น เงาะ ส้ม น้อยหน่า มะม่วง มังคุด และอื่น ๆ ยกเว้นทุเรียน ใช้ปุ๋ยเคมีในอัตราต้นละ 300-600 กรัม โดยใส่เป็นรูปวงแหวนตามรัศมีแนวพุ่มใบ หลังจากลูกติดแล้วประมาณ 20-30 วัน แล้วแต่อายุ ของไม้ผลแต่ละชนิด
- พืชไร่ มันสำปะหลัง หอม กระเทียม ผักกาดหัว (ยกเว้นยาสูบ) ใช้แต่งหน้า ในระยะที่พืชกำลังสร้างผลผลิต โดยใช้อัตราไร่ละ 25-30 กิโลกรัม เมื่ออายุประมาณ 4-5 เดือน หรือกลางฤดูฝนโดยใส่ตามแนวทั้งสองข้างของแถวพืช ให้ห่างจากโคนต้นประมาณ 6-8 นิ้ว
- ใช้ปุ๋ยเคมีเป็นวัตถุดิบ คือผสมกับปุ๋ยเคมีสูตรอื่น ๆ เช่น 21-0-0, 46-0-0, 0-20-0, 0-46-0, 18-46-0 เพื่อผสมปุ๋ยเคมีสูตรต่าง ๆ ตามต้องการ ทั้งนี้ผู้ใช้ต้องมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องปุ๋ยเคมี และดินเป็นอย่างดี และต้องทราบว่าในดินมีปริมาณธาตุอาหารพืชอื่นเพียงพอกับความต้องการของพืชนั้น ๆ แล้ว
** การปลูกอ้อย ให้ใส่ในอัตราไร่ละ 50-80 กิโลกรัม ต่อปี ดังนี้
- อ้อยปลูก แบ่งใส่เป็นสองครั้งเท่า ๆ กัน ครั้งแรกหลังปลูกประมาณ 1 เดือน ครั้งที่สองหลังจากใส่ครั้งแรกประมาณ 30-60 วัน
- อ้อยตอ นอกเขตชลประทาน ครั้งแรกต้นฤดูฝน ครั้งที่สองหลังจากใส่ครั้งแรกประมาณ 30-60 วัน โดยวิธีโรยข้างแถว ในเขตชลประทาน ครั้งแรกใส่ทั้งหมดหลังตัดแต่งตอ ครั้งที่สองใส่ 21-0-0 อัตราไร่ละ 20-40 กิโลกรัม หลังจากใส่ครั้งแรก 30-60 วัน โดยวิธีโรยข้างแถว ควรใส่ปุ๋ยเคมีขณะที่ดินมีความชื้นพอเหมาะ และจะต้องพรวนดินกลบปุ๋ยเคมี
ข้อความระวังในการใช้ ปุ๋ยเคมี
1. ควรอ่านคำแนะนำเอกสารกำกับปุ๋ยเคมีให้เข้าใจเสียก่อน หากไม่เข้าใจ หรือมีปัญหาสงสัยให้ ปรึกษาเจ้าหน้าที่กรมส่งเสริมการเกษตร หรือนักวิชาการเกษตรประจำสถานีทดลอง หรือสถาบันวิจัยในท้องถิ่น เพื่อให้การใช้ปุ๋ยเคมี มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
2. ก่อนใส่ปุ๋ยเคมี ควรกำจัดวัชพืชให้หมดเสียก่อน เพื่อป้องกันมิให้วัชพืชมาใช้ปุ๋ยเคมีที่ใส่ลงไป
3. ควรใส่ปุ๋ยเคมีเมื่อดินมีความชื้นอยู่ เมื่อใส่ปุ๋ยเคมีควรกลบดิน ในกรณีที่มีการให้น้ำ ควรให้น้ำ น้อย ๆ ก่อน แล้วจึงเพิ่มให้มากขึ้น ถ้าให้ได้ผลดียิ่งขึ้น ควรใส่ปุ๋ยเคมีแก่พืชในช่วงมีแสงแดดจัด ฝนไม่ตก
4. ควรหมั่นดูแลป้องกันกำจัดโรคแมลงศัตรูพืชอยู่เสมอ
5. ควรเก็บปุ๋ยเคมีในภาชนะที่ปิดมิดชิด อย่าให้ถูกความร้อน แสงแดด และฝน
ปุ๋ยอินทรีย์ จุลินทรีย์ สำหรับเพิ่มสารอาหารให้กับพืชเจริญเติบโตได้ดีไม่แพ้ปุ๋ยเคมี
- ปุ๋ยคอก มูลวัวแห้ง ใส่เพื่อบำรุงดิน มีธาตุอาหารพอสมควร
- ปุ๋ยมูลไก่ มูลไก่แห้งอัดเม็ด ใส่เพื่อบำรุงดิน มีธาตุอาหารพอสมควร
- ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยทำจากวัสดุธรรมชาติ ใส่เพื่อบำรุงดิน มีธาตุอาหารพอสมควร
- จุลินทรีย์ เป็นเชื้อจุลินทรีย์ ย่อยสลายปุ๋ย และอินทรีย์สาร ให้เป็นประโยชน์แก่พืช และทำลายเชื้อโรคที่ทำให้เกิดโรคพืช
- กากน้ำตาล อาหารเริ่มต้นของเชื้อจุลินทรีย์ ใช้หมักจุลินทรีย์ให้เพิ่มจำนวนมาก
การใช้ปุ๋ยสูตรเร่งรสหวานให้ผักผลไม้ หากหาสูตร ปุ๋ยน้ำตาลทราย หรือ ปุ๋ยหวาน ไม่ได้ ให้เน้นปุ๋ยที่มีสูตรตัวหลังมากๆ แต่บางท่านก็แนะนำให้ใช้สูตร ปุ๋ยแอมโมเนียมซัลเฟต เป็นสูตร 21-0-0 ก็ได้เช่นกัน
ขอบคุณบทความที่มาจาก pantip : http://pantip.com/topic/32150046
เรียบเรียง : https://kaset.vwander.com
เกษตรอินทรีย์ : การปรับปรุงบำรุงดิน